
ทุกคนผ่านการเรียนวรรณคดี จากคาบเรียนวิชาภาษาไทยกันมาแล้วใช่มั้ยครับ ?
คุณครูภาษาไทยแต่ละท่าน ก็จะมีวิธีการสอนที่แตกต่างกันไป เช่น ให้ค้นคำศัพท์มาก่อนเรียนบ้างล่ะ ให้ฝึกอ่านฝึกท่องเป็นทำนองเสนาะบ้างล่ะ หรือให้คำถามไว้ แล้วไปหาคำตอบมาให้ได้ ซึ่งก็ต้องไปอ่าน ไปนั่งถอดคำประพันธ์กันมาให้เข้าใจ
การที่ต้องมานั่งแปลไทยเป็นไทย บางทีก็เจ็บปวดเหมือนกันนะครับ 55555
....
จนถึงตอนนี้ ผมเป็นครูภาษาไทยมา 5 ปีแล้วครับ
ช่วง 2-3 ปีแรก ที่ไปบรรจุอยู่โรงเรียนประถม ที่โรงเรียนบ้านดอย สอนประจำชั้น ป.5 - ป.6 รับเหมาสอนอยู่ทุกวิชาเลยยังไม่ค่อยรู้สึกเท่าไหร่
แต่พอย้ายโรงเรียนแล้วต้องมาสอนภาษาไทย ม.3 และ ม.5 แบบเน้น ๆ แล้วรู้ซึ้งเลยครับ
รู้เลยตัวเองยังเป็นครูภาษาไทยที่อ่อนหัดหนัก
เฉพาะเรื่องวรรณคดี ผมเปลี่ยนวิธีการสอนอยู่แทบทุกปีครับ
ปีแรก (ที่สอนมัธยม) ผมใช้วิธีการให้นักเรียนแบ่งกลุ่ม แบ่งเนื้อหาวรรณคดี แล้ววาดภาพตามเนื้อเรื่องที่เกี่ยวกับวรรณคดีในตอนที่นักเรียนอ่าน
ปรากฏว่าในวรรณคดีเรื่อง พระอภัยมณี ตอน พระอภัยมณีหนีนางผีเสื้อสมุทร แต่ละกลุ่มจะวาดออกมาเป็นรูปแบบคล้าย ๆ กัน คือมีสุนทรภู่นั่งเขียนกระดานชนวน พระอภัยมณียืนเป่าปี่ ข้าง ๆ มีนางเงือกซบตักอยู่ นางผีเสื้อสมุทรยืนเป็นฉากหลัง เอื้อมมือมาจะจับพระอภัย แต่ที่หนักกว่านั้นคือ
มีบางกลุ่มวาดภาพ สุดสาครขี่ม้านิลมังกร ส่งมาด้วย
แล้วยังไงน่ะเหรอ ?
ก็ตอนที่อยู่ในหนังสือเนี่ย พระอภัยกับนางเงือกยังไม่ได้กันเลยนะเซ่ !!! แล้วพวกแกไปเอาสุดสาครมาจากย่อหน้าไหนกัน ห้ะ !
จบเลยครับไม่เวิร์ค...
ปีที่สอง ผมเปลี่ยนวิธีการสอนใหม่ ใช้สื่อและอุปกรณ์มากขึ้น
เช่น ให้นักเรียนช่วยกันคิดวิธีช่วยพระอภัยมณี โดยใช้สิ่งของที่ครูให้ไป เช่น ค้อน ที่ตักผง ตะหลิว กรรไกร (อะไรที่หาได้แถว ๆ นั้น)
เด็ก ๆ ก็สนุกสนานในการนำเสนอ
ช่วงนี้ครูต้องตั้งคำถามว่าแล้วมันจะหนีได้จริงเหรอ หรือพยายามแย้งว่ามันยังงั้นยังงี้ไปเรื่อย ๆ จนเด็ก ๆ เริ่มหาทางไปไม่ถูก แล้วค่อยนำเข้าเรื่อง โดยบอกนักเรียนว่า "ถ้าอยากรู้ก็ลองหาคำตอบดูสิครับ" (ทำเสียงแบบพิธีกรรายการเด็ก)
นักเรียนบางคนอยู่ในอาการ "กูไม่รู้ก็ได้วะ"
จบเห่เช่นกันครับวิธีนี้
........
มีคนกล่าวไว้ว่า...
"ไม่มีวิธีสอนใดที่ดีที่สุด มีแต่วิธีใดที่เหมาะที่สุดสำหรับนักเรียนครับ"
ผมจึงต้องกลับมาใช้วิธีที่ผมเคยคิดว่าชีวิตนี้จะไม่สอนเด็กด้วยวิธีนี้เด็ดขาด นั่นคือ "อ่าน แปล และเล่าเรื่องไปพร้อม ๆ กัน" ครับ
........
เรื่องมันเกิดจากที่ผมมาย้อนถามตัวเองว่า "เราเรียนวรรณดีไปเพื่ออะไร"
มีหลายเหตุผลที่ต้องเรียนวรรณคดี แต่เหตุผลที่โดยส่วนตัวแล้วผมไม่ชอบเลยก็คือ "เราต้องเรียนเพื่ออนุรักษ์ความเป็นไทย"
โอเค..ว่ามันก็เป็นเรื่องจริง มันมีส่วนถูก แต่การอนุรักษ์ มันน่าจะเป็นผลพลอยได้จากการที่เราได้รับสิ่งที่มันเป็นประโยชน์จากวรรณคดีแล้วมากกว่า
วรรณคดีมันต้องให้อะไรเรามากกว่านั้นสิ
เรื่องของสุนทรียภาพก็ส่วนหนึ่งล่ะ แต่ที่วรรณคดีให้ผู้เรียนมาก ๆ เลยก็คือคุณค่าทางสังคม ที่สะท้อนมาจากวรรณคดีครับ
ไหน ๆ ที่ผ่านมา ผมสับขาหลอกให้นักเรียนไปอ่านแล้วไม่ได้ผล ก็ขอใช้วิธีทื่อ ๆ คืออ่านและเล่าไปพร้อม ๆ กันนี่แหละ ฮึ่ย !!!
อย่างที่ผมออกตัวไว้ ว่าผมเป็นครูภาษาไทยที่ค่อนข้างอ่อนหัด วิธีคิดของผมอาจจะไม่ถูกก็ได้นะครับ แหะ ๆ
แต่เวลาที่ผมเล่า เด็ก ๆ ตั้งใจฟังนะครับ ที่สำคัญฮาด้วยครับ บอกไว้ก่อน 555555555555+
...................................
หลังจากที่ทดลองสอนไปเกือบครบเทอม
การอ่านและวิเคราะห์เนื้อเรื่องไปพร้อม ๆ กับนักเรียน ช่วยให้เรามีโอกาสสอนวิธีคิด วิธีวิเคราะห์สถานการณ์ ความเป็นเหตุเป็นผล และการแสดงความคิดเห็นซึ่งเป็นทักษะชีวิตที่สำคัญแก่เด็กไปด้วยครับ
....เหมือนพ่อแม่ กำลังเล่านิทานให้ลูก ๆ ฟังยังไงล่ะครับ.....
วิธีนี้อาจจะยากหน่อย สำหรับคนที่งานนอกเยอะ (นอกเหนือการสอน) เพราะต้องใช้เวลาอยู่กับนักเรียนทั้งคาบ สิ้นพลังงานไปเยอะเหมือนกัน อาจจะลดทักษะด้านการอ่านและถอดคำประพันธ์ไปบ้าง แต่ถ้ามันจำเป็นต้องเลือกจริง ๆ ขอสอนแบบสอดแทรกทักษะชีวิตไปด้วยดีกว่าครับ แหม่ Teacher Center กันสุด ๆ
ส่วนทักษะ(หรือตัวชี้วัด) อื่น ๆ ก็ต้องไปเน้นในเรื่องอื่น ๆ ต่อไป
สัญญาว่าจะหาวิธีที่เหมาะสม และพัฒนาการสอนและวิธีจูงใจที่จะให้นักเรียนได้รับไปครบทุกทักษะต่อไปนะครับ
ถ้าคุณครูภาษาไทยท่านอื่นผ่านมาจะช่วยชี้แนะกระผมในครั้งนี้ก็จะยินดีมากครับ ^^
แต่สิ่งหนึ่ง ที่ผมรู้ดีแน่ ๆ เลยก็คือ
อย่าไปสอนแบบนี้ ตอนที่มีคนมาประเมินเชียวนะครับ
โดนด่าเสียหมาแล้วจะหาว่าครูมะนาวไม่เตือน 555555555
ติดตามอ่านเรื่องราวอื่นๆ ได้ที่แฟนเพจครับ ^^
https://www.facebook.com/krumanow
ป้ายคำ: